- เส้นทางดอกเบี้ยโลกและ Fed ตลาดกำลังจับตาการประชุม Fed ต.ค. – พ.ย. หากลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.25 – 0.50% จะหนุนสินทรัพย์เสี่ยง แต่ถ้า Fed คงท่าทีระมัดระวัง ตลาดบอนด์อาจผันผวนสูง
- ความเสี่ยงการเมือง – เศรษฐกิจไทย Fitch การปรับ Outlook ไทยเป็น Negative สะท้อนความเปราะบางการคลัง หากรัฐบาลไม่เร่งปฏิรูป รายงานเครดิตมีโอกาสถูกปรับลดจริงใน 1 – 2 ปี
- เงินบาทและกระแสเงินทุน ค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนแรงจากนโยบายดอกเบี้ยของ ธปท. และราคาทองคำ
- หุ้นไทยเน้นกลุ่มในประเทศ – จังหวะเข้าสะสม Q4 เป็น High Season ของท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเริ่มเดินหน้า ทยอยสะสม หุ้นค้าปลีก ก่อสร้าง และท่องเที่ยว เมื่อ SET อ่อนตัวใกล้ 1,270 – 1,280 จุด ขณะที่กลุ่มธนาคารยังควร Trim Position จากแรงกดดันด้านเครดิต
สรุปเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐทำจุดสูงสุดใหม่ท่ามกลางการลดดอกเบี้ยของ Fed พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐผันผวนจาก Dot Plot และแรงกดดันเงินเฟ้อ ขณะที่ราคาทองคำยังคงยืนสูง แม้ผันผวนจากค่าเงินดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 3/2568 ตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรก
ในรอบ 9 เดือน พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปี การลดดอกเบี้ยดังกล่าวสะท้อนความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแรง ขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมี
ความผันผวนสูงในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา หลัง Fed เปิดเผย Dot Plot ใหม่ที่ระบุถึงการลดดอกเบี้ยรวม 0.75% ในปี 2568 แต่ยังคงคาดการณ์ Terminal Rate ที่ระดับ 3.375% นักลงทุนในตลาดพันธบัตรตีความว่าแม้ Fed
จะเข้าสู่รอบผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ความระมัดระวังของ Fed ยังสะท้อนว่าการลดดอกเบี้ยอาจไม่เร็ว
และแรงตามที่ตลาดหวัง ผลลัพธ์คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ขยับขึ้นจากระดับ 4.0% ไปแตะ
4.1 – 4.2% ในบางช่วง ท่ามกลางแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติและกองทุนบำนาญที่ต้องการปรับพอร์ตเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สำหรับทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ในบางช่วง และความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรเป็นระยะ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฟื้นตัวขึ้นหลัง Fed ส่งสัญญาณระมัดระวัง แต่นักลงทุนจำนวนมากยังคงถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเงินเริ่มกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed ภายใต้นโยบายการเมืองของสหรัฐ
ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจถดถอย ต่างจากจีนที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีจีน หนุน Hang Seng Tech Index ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดสหรัฐและเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจ
ยูโรโซนยังมีความเสี่ยงถดถอยต่อเนื่อง โดยเฉพาะเยอรมนีที่การส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมหดตัวชัดเจน ขณะที่ ECB แม้จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่ยังไม่พร้อมเข้าสู่รอบการลดดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ผลกระทบนี้ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นสหรัฐและเอเชียมากขึ้น ขณะที่ดัชนี Hang Seng Tech Index ของฮ่องกงปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2564 โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการลงทุนด้าน AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่จีน เช่น Alibaba, Baidu และ Tencent รวมถึงการใช้จ่ายด้าน AI Infrastructure ที่มีแนวโน้มสูงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 ซึ่งมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 2566 อีกทั้งแรงกดดันจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มผ่อนคลายลงหลังจากมีการเจรจาระดับสูง นักลงทุนจึงกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคโนโลยีจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เช่น ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบภายในประเทศ และการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างแพลตฟอร์มท้องถิ่น
ตลาดพันธบัตรไทยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ ธปท. แต่มีความกดดันจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Fitch ต่อประเทศไทย พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลงต่อเนื่องแตะระดับ 1.30 – 1.35% หลังตลาดรับข่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในไตรมาส 4/2568 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่แรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาททำให้ต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการ Steepening ของ Yield Curve การเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพในประเทศระยะสั้นมากขึ้น แม้แนวโน้มระยะกลางยังมีความเสี่ยงด้านการคลัง ขณะเดียวกัน Fitch Ratings ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยจาก Stable เป็น Negative แม้ยังคงอันดับที่ BBB+ เหตุผลหลักคือหนี้สาธารณะสูงขึ้นต่อเนื่อง การขาดดุลการคลังอยู่ในระดับสูง และขาดความชัดเจนด้านยุทธศาสตร์ทางการคลัง การปรับลดแนวโน้มนี้ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและการลงทุนต่างชาติ แม้ตลาดโดยรวมจะไม่ได้ปรับตัวแรงมากนัก
หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ จากแรงกดดันการเมืองและ Fund Flow ดัชนี SET Index ปรับขึ้นจากจุดต่ำสุด 1,050 จุด มายืนเหนือ 1,290 จุด ในไตรมาส 3 แต่เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรและการพักฐานหลังต่างชาติขายสุทธิหลายหมื่นล้านบาทต่อเนื่อง ปัจจัยกดดันหลักคือความไม่แน่นอนทางการเมือง การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Fitch Ratings และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น
ค้าปลีก และก่อสร้าง ยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว แม้ว่าจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเช่นกัน แต่ด้วยภาวะค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่ายังคงเป็นปัจจัยที่กดดันกลุ่มดังกล่าวอยู่ โดยมีการพบว่าการปรับปรุงตัวเลขดุลการชำระเงินโดย ธปท. ทำให้ตัวเลข Net Errors and Omissions (NEO) ลดลงมากกว่าครึ่ง สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าการแข็งค่ามีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
ปัจจัยที่ต้องจับตามองในไตรมาส 4/2568
การประชุม Fed เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน Fed จะประชุมอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปี ตลาดคาดว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25 – 0.50% โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ นักลงทุนต้องจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ว่าจะมีโทน Dovish ต่อเนื่องหรือไม่ หาก Fed ลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด อาจหนุนสินทรัพย์
เสี่ยงต่อ แต่หาก Fed ยังคงท่าทีระมัดระวัง ตลาดพันธบัตรอาจผันผวนสูง นักลงทุนควรจับตาการเคลื่อนไหวของ US Treasury Yield Curve หลังการลดดอกเบี้ยรอบแรกแล้ว หากเส้นอัตราผลตอบแทนยัง Steepen ต่อเนื่อง แปลว่านักลงทุนคาดเศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพ แต่หากกลับมา Invert อีกครั้ง อาจเป็นสัญญาณเตือนการเข้าสู่ภาวะถดถอย
ความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ (Shutdown) สภาคองเกรสยังไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวได้ ทำให้ความเสี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หากเกิดขึ้นจริงแม้อาจกระทบเพียงชั่วคราว แต่จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดพันธบัตรสหรัฐ นักลงทุนควรจับตาระยะเวลาของ Shutdown ว่าจะยืดเยื้อหรือไม่
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและเอเชีย สงครามรัสเซีย – ยูเครนยังยืดเยื้อ และล่าสุดมีการโจมตีโครงสร้างพลังงานเพิ่มเติม ขณะที่ความตึงเครียดในเอเชีย เช่น ช่องแคบไต้หวัน และประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐต่อจีน ยังคงเป็นความเสี่ยง หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง อาจกระทบราคาน้ำมัน โลหะ และบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโลก
การเคลื่อนไหวของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐและการลงทุนด้าน AI แม้หุ้นเทคโนโลยีจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด แต่ Valuation ที่สูงเริ่มสร้างความกังวล นักลงทุนต้องจับตาผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ของบริษัทใหญ่ เช่น Nvidia, Microsoft และ Apple หากเติบโตต่ำกว่าคาด อาจนำไปสู่แรงขายทำกำไรและกดดันดัชนีโดยรวม
นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปี 2568 หลังเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นก้าวออกจากนโยบายดอกเบี้ยต่ำสุดขั้วในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งอาจกระทบตลาดพันธบัตรและค่าเงินเยนทั่วโลก
ทิศทางค่าเงินบาทและนโยบายการเงิน ธปท. ค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนสูงในไตรมาส 4 เนื่องจากกระแสเงินทุนไหลเข้า – ออก ขึ้นอยู่กับนโยบายดอกเบี้ยของ ธปท. หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด เงินบาทอาจอ่อนค่าชั่วคราว แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาทองคำสูงยังเป็นปัจจัยหนุนเงินบาทให้แข็งค่าในระยะกลาง
การขาดดุลการคลังและความเสี่ยงอันดับเครดิตไทย หลัง Fitch ปรับลดแนวโน้มเครดิต นักลงทุนจับตาว่ารัฐบาลไทยจะมีมาตรการใดในการรักษาวินัยการคลัง เช่น การปรับ VAT หรือปรับลดการใช้จ่าย หากไม่มีความคืบหน้า ความเสี่ยงที่อันดับเครดิตถูกปรับลดจริงใน 1 – 2 ปีข้างหน้าอาจกดดันตลาดพันธบัตรและค่าเงินบาทต่อเนื่อง
การเลือกตั้งท้องถิ่นและปัจจัยการเมืองในประเทศ การเมืองไทยมีแนวโน้มทรงตัว แต่หากมีความขัดแย้งใหม่ ๆ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ในทางกลับกัน หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้จริง หุ้นกลุ่ม Domestic Play จะได้รับประโยชน์
แนวโน้มการส่งออกและภาคท่องเที่ยวไทย นักลงทุนต้องจับตาการส่งออกไทยว่าจะสามารถฟื้นตัวได้หรือไม่ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐและเงินบาทแข็ง ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4
ซึ่งเป็น High Season โดยนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียอาจเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก หากฟื้นตัวตามคาด จะหนุน GDP ไทยให้ขยายตัวมากกว่าที่ประเมิน
กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4/2568
ตราสารหนี้ไทย ในไตรมาส 4/2568 มุมมองต่อการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังคงเป็นเชิงบวก เนื่องจากตลาดเริ่มสะท้อนความคาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะช่วยหนุนราคาพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 5 – 10 ปี ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงและมีโอกาสเห็น Foreign Inflow ไหลเข้ามากขึ้น ควรเน้นเพิ่ม Duration ของพอร์ตเพื่อล็อกผลตอบแทนในระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ควรระวังความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจส่งผลต่อ Fund Flow และควรติดตามประเด็นอันดับเครดิตของ Fitch และ Moody’s ที่ยังคงเป็นแรงกดดันเชิงโครงสร้าง
ตราสารทุนไทย ควรเน้นหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง และท่องเที่ยว ที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและ High Season ของนักท่องเที่ยว ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารอาจยังถูกกดดันจากความกังวลด้านเครดิตและ NPL ส่วนหุ้นพลังงานและปิโตรเคมียังเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรรักษาสัดส่วนหุ้นไม่เกิน 55 – 60% ของสัดส่วนหุ้นทั้งหมด และทยอยสะสมในจังหวะที่ตลาดอ่อนตัวใกล้ 1,270 – 1,280 จุด
แม้ว่าการนำเงินของกองทุนไปลงทุน จะเผชิญกับความผันผวนในด้านต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ทางกองทุนการออมแห่งชาติจะบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนอย่างมืออาชีพเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของกองทุนฯ รวมถึงเพื่อรักษากำลังซื้อในวัยเกษียณไม่ให้ลดลงตามเงินเฟ้อให้แก่สมาชิก





